rachanka
วันอังคารที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
วันเสาร์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2553
รักษาโรคแผลในกระเพาะอาหาร และลำไส้ด้วยน้ำใบย่านาง
1. เคลือบแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้
2. ปรับสมดุลของกรดในกระเพาะอาหาร
ลักษณะของน้ำใบย่านาง

1. มีกลิ่นเหม็นเขียว (ไม่ต้องตกใจ) คล้ายน้ำใบบัวบก แต่เมื่อดื่มแล้วจะรู้สึกได้ทันทีว่าน้ำใบย่านางมีสรรพคุณดีกว่าน้ำใบบัวบก
2. ใบย่านางเป็นสมุนไพรธาตุเย็น เหมาะสำหรับคนธาตุร้อน ถ้าดื่มแล้วร่างกายรู้สึกหนาวให้ลดปริมาณลง (ผมดื่มแล้วหนาว)
3. เนื่องจากการทำน้ำใบย่านางดื่มนั้น ไม่ได้ผ่านกระบวนการต้ม จึงควรเก็บไว้ในตู้เย็นและระวังน้ำใบย่านางบูด ก่อนดื่ม
การทำน้ำใบย่านาง โดยใช้เครื่องปั่นให้คงคุณค่าสารอาหาร
เทคนิคอยู่ที่วิธีการปั่น คือ ไม่ควรกดปั่นครั้งเดียวจนใบย่านางละเอียด
เทคนิคที่แจ๋วกว่า คือให้กดปั่น แล้วนับ 1-2-3-4-5 อย่างเร็ว แล้วกดปิด รอให้น้ำใบย่านางหยุดหมุน แล้วกดปั่นอีกครั้ง นับ 1-2-3-4-5 อย่างเร็ว แล้วกดปิด รอให้น้ำใบย่านางหยุดหมุน ทำซ้ำไปเรื่อยๆจนใบย่านางละเอียด วิธีนี้ทำให้โมเลกุลของสารอาหารไม่เปลี่ยนรูปร่างไปจากเดิม
เสร็จแล้วกรองด้วยผ้าขาวบาง แช่เย็นไว้ดื่ม เนื่องจากไม่ได้ผ่านกระบวนการต้ม จึงควรเก็บไว้ในตู้เย็นและก่อนดื่ม ระวังน้ำใบย่านางบูด
ป.ล. หาซื้อหนังสือใบย่านางได้ที่ สันติอโศก (พลังบุญ)

วันพุธที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2553
หลากวิธีป้องกันอันตรายจากการใช้คอมพิวเตอร์
วิธีที่ 1 ปรับตำแหน่งการติดตั้งคอมพิวเตอร์ ให้ขอบบนของจออยู่ในระดับสายตาพอดี
เพื่อให้มองลงต่ำประมาณ 15 องศา ห่างจากสายตา 18 – 25 นิ้ว ย้าย คีบอร์ดในตำแหน่งที่วางมือแล้วไม่ห้อยต่ำกว่าข้อมือ ข้อมือควรกระดกขึ้นเล็กน้อยขณะทำงาน เม้าส์วางใกล้แนวกลางลำตัว งอเข่าไม่มากเกินไป ถ้าเมื่อยอาจนวดเบา ๆ หรือใช้น้ำอุ่นประกบ
วิธีที่ 2 เลือกโต๊ะเก้าอี้ให้เหมาะกับรูปร่าง
เลื่อนเก้าอี้ไปใกล้ๆ นั่งขยับสะโพกชิดพนักเก้าอี้ เวลาทำงานอย่านั่งท่าเดิมนาน 2 ชั่วโมง ลุกไปไหนมาไหนบ้าง จัดของบนโต๊ะให้หยิบง่าย ไม่ต้องเอื้อมหรือเอี้ยวตัวบ่อยๆ เพื่อป้องกันไม่ให้ระบบต่างๆ ในร่างกายทำงานผิดปกติ
วิธีที่ 3 ลงทุนซื้อหาอุปกรณ์ที่ออกแบบเป็นพิเศษ รับรองว่าคุ้มกว่าค่ารักษา
เช่น ใช้คีบอร์ดดีไซน์ที่ป้องกันแขนเมื่อย โดยมีส่วนเว้าด้านขวาเพื่อให้วางเม้าส์ได้ ใส่สกรีนหน้าจอคอมพิวเตอร์เพื่อลดรังสีที่ออกมาจากเครื่อง ใช้เม้าส์แพดที่มีหมอนรองนิ่มๆ และควรเป็นเม้าส์ที่มีลูกกลิ้งเพื่อลดการเคลื่อนไหวของข้อมือ เป็นต้น
วิธีที่ 4 อย่าเพ่ง จ้องจอคอมพิวเตอร์นานเกินครึ่งชั่วโมง
พักสายตาจากคอมพิวเตอร์เป็นระยะๆ โดยการทอดสายตามองนอกหน้าต่าง หรือสอดส่ายสายตาตรวจเช็คสภาพทั่วไปในบริเวณรอบๆ
วิธีที่ 5 หากปล่อยไว้นานจนเกิดอาการ
ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อจากการใช้คอมพิวเตอร์ขึ้น อาจระงับด้วยการรักษาตามอาการเจ็บป่วย ได้แก่ รับประทานยาแก้ปวด นวดยืดกล้ามเนื้อ เช่น การบิดขี้เกียจ รวมทั้งพบแพทย์เพื่อฉีดยาและทำกายภาพบำบัดเพื่อรักษา
เพื่อให้มองลงต่ำประมาณ 15 องศา ห่างจากสายตา 18 – 25 นิ้ว ย้าย คีบอร์ดในตำแหน่งที่วางมือแล้วไม่ห้อยต่ำกว่าข้อมือ ข้อมือควรกระดกขึ้นเล็กน้อยขณะทำงาน เม้าส์วางใกล้แนวกลางลำตัว งอเข่าไม่มากเกินไป ถ้าเมื่อยอาจนวดเบา ๆ หรือใช้น้ำอุ่นประกบ
วิธีที่ 2 เลือกโต๊ะเก้าอี้ให้เหมาะกับรูปร่าง

เลื่อนเก้าอี้ไปใกล้ๆ นั่งขยับสะโพกชิดพนักเก้าอี้ เวลาทำงานอย่านั่งท่าเดิมนาน 2 ชั่วโมง ลุกไปไหนมาไหนบ้าง จัดของบนโต๊ะให้หยิบง่าย ไม่ต้องเอื้อมหรือเอี้ยวตัวบ่อยๆ เพื่อป้องกันไม่ให้ระบบต่างๆ ในร่างกายทำงานผิดปกติ
วิธีที่ 3 ลงทุนซื้อหาอุปกรณ์ที่ออกแบบเป็นพิเศษ รับรองว่าคุ้มกว่าค่ารักษา
เช่น ใช้คีบอร์ดดีไซน์ที่ป้องกันแขนเมื่อย โดยมีส่วนเว้าด้านขวาเพื่อให้วางเม้าส์ได้ ใส่สกรีนหน้าจอคอมพิวเตอร์เพื่อลดรังสีที่ออกมาจากเครื่อง ใช้เม้าส์แพดที่มีหมอนรองนิ่มๆ และควรเป็นเม้าส์ที่มีลูกกลิ้งเพื่อลดการเคลื่อนไหวของข้อมือ เป็นต้น

วิธีที่ 4 อย่าเพ่ง จ้องจอคอมพิวเตอร์นานเกินครึ่งชั่วโมง
พักสายตาจากคอมพิวเตอร์เป็นระยะๆ โดยการทอดสายตามองนอกหน้าต่าง หรือสอดส่ายสายตาตรวจเช็คสภาพทั่วไปในบริเวณรอบๆ
วิธีที่ 5 หากปล่อยไว้นานจนเกิดอาการ
ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อจากการใช้คอมพิวเตอร์ขึ้น อาจระงับด้วยการรักษาตามอาการเจ็บป่วย ได้แก่ รับประทานยาแก้ปวด นวดยืดกล้ามเนื้อ เช่น การบิดขี้เกียจ รวมทั้งพบแพทย์เพื่อฉีดยาและทำกายภาพบำบัดเพื่อรักษา
โรควุ้นในตา
โรคน้ำวุ้นในตา
1. จุดดำ เส้นดำ หยากไย่ที่เห็นมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นจนผิดสังเหต (มากกว่า 10 จุด)
2. ตามัวลงอย่างรวดเร็ว
3. เหมือนมีม่านสีดำ เทามาบังส่วนหนึ่งส่วนใดของลานสายตา
4. เห็นเหมือนไฟแลบเกือบตลอดเวลาทั้งกลางวันและกลางคืน

วุ้นในตาเสื่อม ไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่บ่งบอกว่าเกี่ยวกับการใช้สายตา หรือจอชนิดใดๆก็ตาม ภาวะนี้ทุกคนหนีไม่พ้นอยู่แล้วจะเป็นเร็วหรือช้าเท่านั้นเองเพราะเป็น aging change เช่นเดียวกับผมหงอก หรือรอยตีนกา มีภาวะบางอย่างที่ทำให้เกิดวุ้นตาเสื่อมได้เร็วทั้งๆที่อายุไม่มาก เช่น
- สายตาสั้น
- เคยได้รับการผ่าตัดในตามาก่อน
- เคยได้รับอุบัติเหตุบริเวณศีรษะมาก่อน
ถ้ามีวุ้นตาเสื่อม ร่วมกับจอรับภาพฉีก --- ป้องกันจอรับภาพหลุดลอกด้วยเลเซอร์ เพราะถ้าจอรับภาพหลุด ก็จะเป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องการการรักษาที่ค่อนข้างยุ่งยาก แต่ถ้า

วุ้นตาเสื่อมอย่างเดียว ไม่ต้องทำอะไร นอกจากตรวจตาเป็นครั้งคราวตามที่แพทย์แนะนำ
มักพบในคนที่อายุมากกว่า 50 ปี ขึ้นไป ปัจจัยบางอย่างอาจส่งผลให้เกิดความเสื่อมของน้ำวุ้นตาเร็วกว่าปกติ เช่น สายตาสั้น , อุบัติเหตุที่ตา , การอักเสบในลูกตา อาการของน้ำวุ้นตาเสื่อมจะมองเห็นจุดหรือเส้นรูปร่างต่างๆ เช่น คล้ายหยากไย่ลอยไปมา เกิดจากขณะที่น้ำวุ้นตาละลาย บางส่วนจะจับตัวกันเป็นตะกอน ขณะที่น้ำวุ้นตาร่อนตัวออกจากจอประสาทตาจะเห็นคล้าย แสงแฟลต หรือ แสงฟ้าแลบ
น้ำวุ้นตาเสื่อมเป็นภาวะที่เกิดกับตาทั้ง 2 ข้างแต่อาจเกิดขึ้นในระยะเวลาต่างกันเมื่อเกิดอาการควรพบจักษุแพทย์เพื่อตรวจดูจอประสาทตาเนื่องจากอาจเกิดการฉีกขาดของจอประสาทตาขณะที่น้ำวุ้นตาร่อนตัวออกจากจอประสาทตา ซึ่งต้องรีบให้การรักษาเพื่อป้องกันการเกิดจอประสาทตาหลุดลอก ส่วนอาการเห็นจุดหรือเส้นรูปร่างต่างๆลอยไปมานั้นไม่จำเป็นต้องรักษาเนื่องจากไม่ทำให้เกิดอันตรายและมักจะชินไปเอง แต่ถ้ามีอาการ จะมองเห็น เหมือนสายฟ้าแลบทางหางตา (เป็นอาการ จอประสาทตาฉีกขาด)
การดูแล เมื่อเกิด อาการ ขึ้น

1. พยายามอย่าเครียด
2. นอนพักผ่อนให้เพียงพอ ถ้าให้ดีไม่เกิน 4 ทุ่ม หรือ อย่างมากเที่ยงคืน
3. อย่า ออกแรงหนัก
4. อย่า หักโหมงาน
5. พยายาม อย่าหันหน้า เร็วๆ ให้ทำ อะไรช้าๆ ลงบ้าง
6. ทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ อย่าให้ขาด วิตามิน และ เกลือแร่นะคะ.....
รักษาโดยการใช้เลเซอร์ เพื่อเป็นการเย็บยับยั้ง ไม่ให้ ผนังจอประสาทตา หลุดลอกมากไปกว่านี้
วันศุกร์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
ว่านหางจระเข้
ว่านหางจระเข้
คุณค่าของว่านหางจระเข้มีมากมาย นอกจากใช้รักษาโรคแล้ว ยังใช้บำรุงผิว บำรุงเส้นผมได้ด้วย ปัจจุบัน จะเห็นได้ว่า มีแชมพูสระผม และเครื่องสำอางหลายอย่าง ที่ใช้ว่านหางจระเข้เป็นส่วนประกอบ และกำลังเป็นที่นิยมของคนทั่วไป เนื่องจากว่านหางจระเข้ มีคุณสมบัติสามารถช่วยให้กระบวนการเมตะโบลิซึม ทำงานได้เป็นปกติ ลดการติดเชื้อ สลายพิษของเชื้อโรค กระตุ้นการเกิดใหม่ ของเนื้อเยื่อส่วนที่ชำรุด ฉะนั้น ว่านหางจระเข้จึงถูกนำมาใช้ เพื่อบำรุงผิวพรรณ ผู้ที่ใช้ว่านหางจระเข้บำรุงผิวพรรณอยู่เป็นประจำ จะรู้สึกได้ชัดว่า ว่านหางจระเข้มีส่วนช่วย ให้ผิวพรรณผุดผ่อง สดชื่น มีน้ำมีนวล และยังสามารถขจัดสิว และลบรอยจุดด่างดำได้ด้วย การใช้ว่านหางจระเข้ เพื่อบำรุงผิว โดยปอกเปลือกออก ใช้แต่เมือกวุ้นสีขาวใส ที่อยู่ภายใน ทั้งนี้ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดการแพ้ ก่อนใช้ควรตรวจสอบว่า ตนเองจะเกิดอาการแพ้หรือไม่ โดยใช้
สรรพคุณ
บำรุงผิว ป้องกันฝ้า ลบรอยจุดด่างดำ รักษาสิว
ส่วนผสม
ว่านหางจระเข้
วิธีทำ เลือกใบจากต้นว่านหางจระเข้ที่มีอายุ 1 ปีขึ้นไป โดยเลือกใบล่างสุดซึ่งจะอวบโต มีวุ้นมาก นำมาแช่น้ำเพื่อล้างยางเหลืองๆ ออกให้หมด(ยาง เหลืองมีฤทธิ์ระคายเคืองผิว ทำให้แสบร้อน เป็นผื่นแดง) จากนั้นปอกเปลือกออก แล้วเอาวุ้นที่ได้ล้างน้ำให้สะอาดอีกทีหนึ่ง นำวุ้นไปปั่นหรือใช้มือขยำ ก็จะได้เจลว่าน หางจระเข้ การใช้ว่านหางจระเข้สดได้ผลดีกว่าผลิตภัณฑ์แปรรูป ซึ่งจะมีปัญหาการคงตัวเมื่อถูกความร้อนวิธีใช้ ล้างหน้าให้สะอาด เช็ดหน้าให้แห้ง แล้วใช้เจลพอกทั่วใบหน้ายกเว้นรอบดวงตาและรอบปาก ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที จึงล้างออก สูตรนี้เหมาะ สำหรับคนผิวมันสำหรับคนผิวแห้ง ไม่ควรใช้ว่านหางจระเข้เดี่ยว ๆ ควรเติมน้ำมันมะกอกกับไข่แดง ตีให้เข้ากัน แล้วจึงพอกหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที แล้วจึงล้างออกด้วยน้ำสะอาดหมายเหตุ ไม่ควรใช้ว่านหางจระเข้กับสิวหัวหนอง เพราะฟิล์มจากว่านจะทำให้สิวหายช้า
ขอบคุณที่มา สมุนไพรดอทคอม

วันเสาร์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
โรคขี้อิจฉา
โรคขี้อิจฉา
โรคอิจฉาเธอมีคนรัก โรคอิจฉาเธอที่สวย โรคอิจฉาที่เธอรวย โรคอิจฉาที่เธอเก่ง และโรคอิจฉาที่ไม่เป็นเรา เชื่อเหลือเกินว่า ไม่มีใครไม่รู้จักคนขี้อิจฉา เพราะคนประเภทนี้ มีอยู่มากมายมหาศาล ในสังคมอลเวงที่พวกเราอาศัยอยู่ที่สำคัญ การอิจฉาเป็นความรู้สึกที่พุ่งปี๊ดขึ้นมาเหนือจิตใจ ยากที่เหตุและผลในสมองของพวกเรา จะห้ามมันไว้ได้ทัน หลายครั้งที่ไดยินว่า ถ้ามนุษย์เราอิ
จฉากันธรรมดาคงไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้าเติมคำว่า “ริษยา” เข้าไปด้วยล่ะก็…ไม่แน่ เพราะริษยาจะนัยยะแห่งความโกรธ เกลียด และเคียดแค้นของมันอยู่ในที่ แต่ไม่ว่าคุณเคยอิจฉาริษยาหรือไม่ หรือแค่อิจฉารพดับเฉยๆถ้าเป็นน้อยๆไม่เป็นไร แสดงว่ายังเป็นคนปรกติแต่ถ้าไม่เป็นเลยจะดีกว่าและถือว่าเป็นเรื่องที่ดีมาก ทว่าเมื่อใดรู้สึกว่า ฉันอิจฉาได้อิจฉาดี อิจฉาใครต่อใครได้ทั้งวัน…รู้ไหมว่า เริ่มเข้าข่ายต้องไปตรวจสุขภาพจิตกันแล้ว เพราะอะไรนะหรือ ก็เพราะคนขี้อิจฉา ถือเป็นคนที่สร้างความทุกข์ให้กับตัวเอง คนเหล่านี้ชอบเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่นบ่อย พอเอาไปเปรียบเทียบแล้วแทนจะสบายใจ เปล่าหรอก กลับรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจในชะตา และวาสนาตัวเองมากขึ้น…บุคคลแบบนี้ช่างน่าสงสารพฤติกรรมที่แสดงออก ก็เลยเป็นไปในทิศทางลบและชิงชังผู้อื่น เช่น ชอบติฉินนินทา,ติเติยนคนอื่นซ้ำซาก,พูดถึงแต่คนอื่นในทางเลวร้าย ไม่มองความจริงของชีวิตว่า คนเรามีทั้งดีและเสีย มีทั้งนำเน่าและน้ำดี มีทั้งบุญและกรรมทำให้กลายเป็นคนไม่มีความสุขกับชีวิต ว่าแล้ว ใครที่กำลังเป็นหรือเป็นไปแล้ว ขอให้หักหามความอิจฉาเอาไว้ อย่าให้มันเ
ปิดเผยว่า คุณเป็นคนขี้อิจฉาให้คนอื่นเห็น เพราะจะทำลายตัวคุณเองและทำลายผู้อื่นด้วย ส่วนถ้าเราได้ไปอยู่ใกล้ คนขี้อิจฉาขึ้นมาด้วยความจำยอม หรืออะไรก็แล้วแต่รู้ไหมว่า คุณสามารถช่วยคนเหล่านี้ได้ ด้วยการ….บอก ให้เขามองตังเองในแง่บวกมากขึ้น ต้องฝึกมองให้ออกว่า ความทุกข์ก็ดี ความสุขก็ดี ที่แต่ละคนได้รับนั้น ล้วนเป็นผลมาจากการกระทำของผู้นั้นทั้งสิ้น เขาได้ดีก็เพราะเขาเคยทำดี เขาได้ไม่ดีก็เพราะเขาทำไม่ดีเช่นกัน แต่ละคนก็ลงทุนแรงมาทั้งนั้น เราเองก็เช่นกัน ถ้าทำดีก็ได้ดี ทำชั่วก็ได้ชั่ว มันเป็นกฎแห่งกรรมธรรมดา ไม่มีใครได้ดีหรือชั่วเกินกว่าที่ตัวเองได้ทำไว้หรอก ทุกคนล้วน “สมควร” ได้รับในสิ่งที่ตัวเองได้กระทำไว้ทั้งนั้นมองหาข้อดี-ข้อ เด่นในตังเองให้พบ การที่เราเป็นคนขี้อิจฉา แสดงว่าคุณเป็นคนชอบเอวตัวของคุณองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น หรือเป็นคนที่ไม่พอใจกับสิ่งที่คุณเป็นอยู่ ต้องค้นหาสาเหตุที่ตัวคุณ คุณมีปมอะไรอยู่หรือ ซึ่งจริงๆแล้วตองแก้ที่จิตใจของคุณเอง ถ้าคุณค้นพบข้อดีในตัวเองและพัฒนาข้อดีในตัวคุณนั้นให้ดียิ่งขึ้นไป โดยเราไม่ต้องไปเปรียบเทียบกับคนอื่น การอิจฉาจะไม่เกิดขึ้นได้เลย นั่นคือ การยอมรับในสิ่งที่คุณ
เป็น ฟังดูง่ายแต่อาจทำยาก ต้องค่อยๆฝึก อย่างเช่น เราคนอื่นรวย แล้วเราไปอิจฉาเขา เราต้องค้นลงไปว่าที่เขารวย เขารวยเพราะอะไร เขาขยันทำมาหากิน หรือโกงกินบ้านกินเมือง คุณไม่ควรจะอิจฉาคนแบบนั้นเลย คือนำความอิจฉานั้นมาพัฒนาตัวเราเป็นสิ่งที่ดี เห็นคนอื่นเขาสวยกว่าเรา รูปร่างสูงกว่าดีกว่าเรา เพราะอะไรที่เขาเป็นดารา เพราะเขากินแล้วออกกำลังกาย เขายอมอดเพื่อให้หุ่นสวย เราก็ทำแบบเขาบ้างแนะ ให้มีความเมตตากรุณาต่อคนรอบข้างมากขึ้น ส่วนใหญ่ผู้ที่เกิดโรคอิจฉาริษยานั้น มักอยู่บนสมมติฐาน 2 ประการ คือ ประการแรก เกิดจากความน้อยเนื้อต่ำใจ คิดว่าตัวเองด้อยกว่าผู้อื่น เช่น จนกว่า สวยน้อยกว่า เก่งน้อยกว่า ประการที่สอง เกิดจากการคิดว่าตัวเองดีกว่าคนอื่น แต่ไม่ได้รับการยอมรับ หรือได้ในสิ่งที่ตนเองคิดว่าน่าจะต้องได้มากกว่าผู้อื่น เช่นคิดว่า ตัวเองทำงานเก่ง ฉลาด น่าจะต้องได้รับตำแหน่งที่คาดหวัง แต่กลับไมได้ ลองคิดทบทวนดูว่าการที่คนอื่นได้ตำแหน่งที่ดีกว่าได้เงินเดือนเยอะกว่า เป็นเพราะอะไร เป็นเพราะว่าประจบเจ้านาย แสร้งแกล้งทำหรือว่าความจริงแล้วทำงานดี ขยัน อดทน เจ้านายรัก ถ้าเป็นแบบนั้นมองกลับมารที่ตัวเราเองเลยว่าเราควรปรับปรุงอย่างไรบ้าง ความขยันและความอดทนจะทำให้เราประสบความสำเร็จได้เองได้ดีเพราะตัวเราเอง หรือว่าอยากได้ดีเพราะการเสแสร้ง สิ่งไหนที่ยั่งยืนและยาวนานกว่ากัน ความดีที่เราทำใครอาจจะไม่รู้แต่ตัวเรารู้ ให้ทำดีต่อไปเถอะแล้วจะเกิดผลดีตอบ ขยัน และอดทนทุกอย่างก็ผ่านพ้นไปด้วยดี เชื่อได้แน่ๆว่าถ้าเราสามารถทำได้ดังที่กล่าวมาการใช้ชีวิตประจำวันก็จ
ะมี ความสุข ความสมหวัง ตลอดไปดังนั้น ตำรับยาที่จะแก้โรคนี้ได้ ตองใช้สูตรที่ชื่อว่า “ความเมตตา” คือ รู้จักรักตัวเองและผู้อื่นให้เป็นมีความปราถนาดีต่อตนเองและผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นคนในครอบครั



จากดร.ปราณี สุวิทย์ศักดานนท์
วันจันทร์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
โรคทรัพย์จาง


การติดต่อ
โรคนี้มิได้ติดต่อทางพันธุกรรมเช่นกัน แต่ติดต่อกันเฉพาะกลุ่มบุคคลที่มีรายได้น้อย ถึง




อนึ่ง ตัวอย่างช่องทางการติดโรคนี้ ซึ่งเพิ่มโอกาสการติดเชื้อ ได้แก่
วงเหล้า
ผู้เข้าใกล้ผู้เป็นโรค"ยืมตังค์เพื่อน"
ร

การเป็นทาสวัตถุใหญ่ๆยาวๆนิยม (หรืออยู่ในระบอบโตโยฮ่านิยม) ชอบผ่อนของแพงๆ เช่น บ้าน รถยนต์ รถจักรยานยนต์ เป็น

ระยะฟักตัวของโรค
เชื้อจะเริ่มฟักตัวประมาณวันที่ 15 ของเดือน แต่ก็ไม่แน่ทุกคนไป เพราะบางคนเชื้ออาจจะเริ่มฟักตัวได้ตั้งแต่วันที่ 5 ของเดือนก็มี และบางรายอาการรุนแรงจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ของเดือนทีเดียว อาการจะปรากฏเร็วหรือช้า รุนแรงหรือไม่รุนแรง ขึ้นอยู่กับชนิดของเชื้อ และชนิดรายได้ของแต่ละบุคคล ซึ่งแบ่งตามพฤติกรรมในการจับจ่ายใช้สอยของผู้ป่วย อีกทั้งขึ้นอยู่กับลักษณะของโรคแทรกซ้อนที่มือด้วย ว่าเป็นโรค

อาการ
ผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการเหม่อลอย ไม่สบตาผู้อื่นโดยเฉพาะเจ้าหนี้ เหงื่อซึมออกตลอดเวลา หงุดหงิด สูญเสียความเชื่อมั่น ไร้สมาธิในการทำงาน เบื่ออาหาร หิวแต่ทานไม่ลง

การป้องกัน
ไม่ควรนำ

การรักษา
ยังไม่มียาชนิดใดที่จะบำบัดโรคนี้ได้โดยตรงในปัจจุบัน แต่สามารถรักษาได้ตามอาการที่ปรากฏ เช่น
ผู้ป่วยมีอาการปวดศีรษะ (เป็นกันโดยมาก) ก็ควรใช้ยาลดไข้ 1-2 เม็ด ทุก 4 ชั่วโมง ได้แก่ยาพาราเซตามอล ไม่ควรใช้กับผู้ป่วยที่เป็นโรคกระเพาะ
ถ้าผู้ป่วยมีอาการหงุดหงิด กระสับกระส่าย นอนไม่หลับ ควรใช้ยาคลายประสาท ตามที่แพทย์แนะนำ ห้ามใช้เกินขนาด เพราะจะเกิดอันตรายต่อผู้ป่วยได้ (ห้ามใช้สตริกนินโดยเด็ดขาด)
ควรให้ผู้ป่วยได้ออกกำลังกาย พักผ่อน ในที่ลับตาคน อย่าพาผู้ป่วยออกนอกบ้าน เพราะอาจเผชิญหน้ากับเจ้าหนี้ได้ การกระทำเช่นนี้นอกจากจะไม่ทำให้ผู้ป่วยมีอาการดีขึ้นแล้ว กลับจะมีอาการทรุดหนักลงเรื่อย ๆ อาการดูน่าเป็นห่วงอยู่ไม่น้อย แต่อาการของผู้ป่วยจะกระเตื้อง ตื่นเต้นได้อีกครั้งก็ถึงตอนปลายเดือนนั้น ๆ แต่บางรายก็ไม่ดีขึ้น กลับทรุดหนักลงไปอีก เนื่องจากการอักเสบของดอกเบี้ย
ไม่ควรนำผู้ป่

โรคนี้จะสามารถรักษาให้หายขาดและไม่เกิดกับผู้ป่วยได้อีก ถ้าสามารถจัดสรรรายได้ในแต่ละเดือนให้เพียงพอ ควบคุมรายจ่าย ควรให้มีรายจ่ายต่อรายได้อย่างน้อยในอัตรา 1

ปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนป้องกัน จึงต้องรักษาตามอาการข้างต้น และอาจจะใช้ยาแผนโบราณจำพวกวงแชร์ เท้าแชร์ รักษาร่วมก็ได้ แต่ต้องระวังผลข้างเคียงที่อาจะเกิดขึ้นได้ เช่น ลูกแชร์เบี้ยว เท้าแชร์หาย โรคมือเติบ จนทำให้ไม่สามารถรักษา สัดส่วน รายได้ต่อรายจ่ายที่ 1ต่อ1 ได้ จะส่งผลในทางลบมากยิ่งขึ้น แต่ถ้าหากใช้ได้ถูกต้อง เช่น เป็นเท้าแชร์เอง ก็ต้องตามลูกแชร์ให้ได้ครบ ถ้าเป็นลูกแชร์ก็ต้องตามเท้าแชร์ให้ได้ทุกงวด และพยายามอย่าให้ถูกหมอนวดจับ จนติดโรคมือเติบ เป็นต้น
สำหรับวิธีบรรเทาอาการของโรค คือ ยืมเงินจากคนข้างเคียงไปก่อนสิ้นเดือนค่อยว่ากันอีกที
รับข้อมูลจาก "


สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)